Biography : มุทิตา อาจารย์นนท์

อาจารย์นนทิวรรธน์ จันทนะผะลิน 
(16 ตุลาคม พ.ศ. 2489) 

ประติมากร อาจารย์และศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (วิจิตรศิลป์) สาขาย่อยประติมากรรม เกิดที่กรุงเทพมหานคร สำเร็จการศึกษามหาบัณฑิตสาขาประติมากรรม จากมหาวิทยาลัยศิลปากร อาจารย์นนทิวรรธน์ จันทนะผะลินมีผลงานที่ได้รับรางวัลสำคัญคือรางวัลจากการแสดงศิลปกรรมแห่ง ชาติ ครั้งที่ 19-22 และ 24 รางวัลการประกวดออกแบบพระพุทธรูปที่วัดทองศาลางาม ฯลฯ ไม่รวมงานชิ้สำคัญอื่นเป็นจำนวนมาก อาจารย์นนทิวรรธน์เป็นศิลปินแห่งชาติที่ได้รับการประกาศเกียรติคุณไว้ว่า

"...เป็นศิลปินที่สร้างสรรค์งานศิลปะมาอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา ๓๗ ปี นายนนทิวรรธน์ จันทนะผะลิน เป็นประติมากรที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย ผลงานที่โดดเด่นเป็นรูปทรง ๓ มิติ มีความสัมพันธ์ของเส้นและปริมาตรอันกลมกลืนงดงาม โดยนำเสนอผ่านความรู้สึก อารมณ์และความปรารถนา เพื่อให้สังคมได้ตระหนักถึงความเป็นจริงของธรรมชาติ และต่อมาในภายหลังได้สร้างสรรค์ผลงานที่มีเนื้อหาแฝงปรัชญาทางพุทธศาสนา ผลงานได้รับรางวัลจากการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติหลายครั้งรวมทั้งได้รับเกียรติ ให้สร้างประติมากรรมกับสิ่งแวดล้อมทั้งในและต่างประเทศ เช่น ออกแบบเหรียญและทำต้นแบบเหรียญพระมหาชนกถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ออกแบบประติมากรรมนูนสูง ติดตั้งสระน้ำ ภายในบริเวณสวนหลวง ร.๙ และดำเนินการปั้นดินต้นแบบและควบคุมการหล่อทองเหลืองแล้ว ปิดทองพระประธานและพุทธสาวกเพื่อประดิษฐานในพระอุโบสถ วัดพระรามเก้ากาญจนาภิเษก เป็นต้น นอกจากนี้ยังเป็นผู้เผยแพร่ความรู้ และสร้างคุณประโยชน์ทางด้านศิลปะแก่สังคมและ วงการศึกษาศิลปะของไทย มาโดยตลอด "




 นั่นคือประวัติย่อๆของท่านเท่านั้น แต่คุณูปการของท่านที่มากมายมหาศาล ในพื้นที่บล็อกนี้คงไม่เพียงพอที่จะกล่าวหมด อาจฟังดูเว่อร์ แต่นั่นมันคือความจริง ศิลปินผู้ทรงคุณค่าของวงการศิลปะไทย และคณบดีผู้ทุ่มเทของคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาทัศนศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
      ผู้ที่ช่วยให้ศิลปกรรม มมส.ได้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
     
๘ ปี แห่งการเสียสละ ๘ ปีแห่งควมเหน็ดเหนื่อย ๘
ปีแห่งการเพาะปลูกต้นกล้าแห่งศิลป์ ๘ ปีแห่งการเจริญงอกงาม

 เราชาวศิลปกรรมศาสตร์ ทัศนศิลป์ขอมุทิตาจิตแด่อาจารย์นนทิวรรธน์ จันทนะผะลิน ให้มีสุขภาพแข็งแรง อยู่คู่วงการศิลปะของไทย เพื่อให้คงอยู่สืบไป

Disign by Buttersugar104

Review : Life is Beautiful ความหวังมันช่างอัศจรรย์



"หนังที่จะทำให้คุณมีความหวังอีกครั้ง"

    กุยโด ชายผู้ร่าเริงและมองโลกในแง่ดี และตกหลุมรักกับดอร่า ครูสาวของลูกผู้มีอันจะกิน ลงเอยด้วยการมีลูกชายตัวน้อยชื่อ โจชัว ชีวิตครอบครัวอบอุ่นอย่างปกติสุข จนกระทั่งกุยโด โจชัว และลุงของเขาได้ถูกทหารควบคุมตัวไปยังค่ายกักกัน เพราะทั้งสามคนเป็นยิว
     
     หนังทำออกมาได้สนุกผ่านตัวตนของกุยโดที่มองโลกในแง่ดีและงดงาม แฝงด้วยความฉลาดในตัว เช่น การถาม-ตอบปัญหาเชาน์ การแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ การพูดกลบเกลื่อนโจชัวขณะที่อยู่ในค่าย ซึ่งเขาพูดว่า"มันเป็นเพียงแค่การเล่นเกม หากชนะเกนนี้ไปได้ รางวัลคือรถถัง" ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่โจชัวเชื่อและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพื่อให้ได้ชัยชนะ(แม้จะหลุดปากเพียงครั้งเดียว) แต่สำหรับกุยโดคือเพื่อรักษาชีวิตของโจชัวไว้ให้ได้

     แม้ว่าบางช่วงหนังสื่อให้เห็นถึงความโหดร้าของสงคราม และการล้างเผ่าพันธุ์ แต่คงเพราะเรื่องนี้มีตัวละครอย่างกุยโดที่ปัญหาแม้จะร้ายแรงปานใด รอยยิ้มและความหวังบนใบหน้าของก็ไม่เคยจางหายไป เช่นเดียวกับดอร่า ที่แม้ไม่ได้ถูกเกณฑ์มา แต่เธอสมัครใจที่จะชึ้นขบวนมา เพื่อไม่ให้ห่างจากครอบครัวอันเป็นที่รัก แม้นว่าจะถูกแยกระหว่างชายหญิงก็ตาม แต่กุญโดยังส่งผ่านความรักและความห่วงใยถึงเธอตลอดเวลา เช่นฉากที่กุยโดและโจชัวแอบใช้เครื่องขยายเสียงของทหารประกาศบอกดอร่า รวมทั้งเปิดเพลงเพื่อให้เสียงส่งผ่านถึงเธอ

      อีกประเด็นที่น่าสนใจคือการโกหกของกุยโดที่พูดกับโจชัว ที่หลอกว่าการถูกจับตัวมาคือการเล่นเกม ทหารคือผู้คุมเกม การมีชีวิตรอดคือคะแนน และคะแนนคือการนำไปสู่ชัยชนะ เพื่อไม่ให้โจชัวรู้ความจริงเกี่ยวกับกระการทำในค่ายแห่งนี้ แท้จริงแล้ว การกระทำของกุยโดนั้นถูกต้องหรือไม่ การปกปิดความจริงเท่ากับการหลอกตัวเองอย่างนั้นหรือ? จะดีกว่าหรือไม่หากให้โจชัวผู้บริสุทธิ์รับรู้ถึงความโหดร้ายของสงคราม เผด็จการ และชาติพันธุ์ แต่ในทางตรงกันข้าม คำโกหกของกุยโดนั้น คือคำพูดที่แฝงด้วยความหวัง ลองวิเคราะห์สถานการณ์
      
     กุยโด โกหก โจชัว คิดว่าเป็นกาเล่นเกม การดำเนินชีวิต ปกติ ร่าเริง
      กุยโด ม่โกหก โจชัว รับรู้ความจริง การดำเนินชีวิต หวาดกลัว สิ้นหวัง 

แล้วคุ้มค่าหรือไม่กับการโกหกครั้งนี้ 

    อีกส่วนของความงดงามของหนังเรื่องนี้คือช่วงที่กุยโดกับดอร่ารู้จักและสานสัมพันธ์กัน ยิ่งเวลาในหนังผ่านไปนานเท่าใด ยิ่งทำให้เราหลงรักกุยโดมากขึ้นเท่านั้น และโจชัวเองก็เล่นได้น่ารักสดใสสมับเป็นบุตรชายของผู้ไม่เคยไร้ความหวัง

     ฉากสุดจิ๊ด  เป็นฉากที่กุยโดกับโจชัวแอบใช้เครื่องขยายเสียงประกาศถึงดอร่าผู้เป็น "นางฟ้า"ของกุยโด ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเขาห่วงใยกันตลอดเวลา และไม่หวาดหวั่นกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น

      ตัวละครสุดจิ๊ด  หนีไม่พ้นกุยโด ที่ไม่เคยสิ้นหวัง ใบหน้าที่ร่าเริงตลอดเวลา แม้จะมีบ่นๆบ้าง นั่นทำให้หนังเรื่องนี้เป็นสิ่งที่สวยงาม แม้จะเกิดขึ้นในสถานที่ที่โหดร้าย

     สุดท้าย"เราชนะแล้ว"คือคำพูดของโจชัวกับแม่ของเขา หลังจากเยอรมันได้แพ้สงคราม และทั้งสองสามารถรอดมาได้ แม้สิ่งที่พวกเขาสูญเสียคือกุยโด แต่สิ่งที่ทั้งสองได้รับคือการมีชีวิตอยู่จากการเสียสละของชายชื่อกุยโด และความหวังของเขาจะสถิตย์อยู่ตลอดไป 
     คุ้มค่ากับการเติมพลังแห่งความหวังกับหนังเรื่องนี้ และเชื่อเถิดว่า "หากสงครามคือตัวแทนของความโหดร้าย Life is Beautiful ก็คือตัวแทนของความหวัง"


Video Art : Next


Art Project : Video Art 
Title : Next (1.19 Mn.)
Directed : Sirisak Ruttanapratum
2011




Short Film Project : Finger Walk


Art Project : Short Film
Title : Circle 
Directed : Sirisak Ruttanapratum



     
     "คล้ายดังกับว่า ยิ่งพัฒนาการด้านเทคโนโลยีก้าวหน้าเท่าใด
 ความเป็นมนุษย์เรายิ่งลดลงมาเรื่อยๆ 
เหมือนกับเครื่องจักรที่เราพยายามสร้างขึ้นมาเอง"

Short Film Project : The Return

Art Project : Short Film
Title : Circle 
Directed : Sirisak Ruttanapratum
Cast : Sirisak Ruttanapratum
Arita Prakobkit





ชื่อเรื่อง :The Return เมือ
ความยาว : 6.19 นาที
โครงการประกวดหนังสั้น "ความสุขเล็กๆของนิสิต มมส"

     เรื่องราวว่าด้วยเด็กหนุ่มบ้านนอกได้เข้ามาใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย 
สถานที่อันเป็นแหล่งรวมประสบการณ์ ความรู้ และการใช้ชีวิตที่แตกต่างจากเดิม 
ที่พบทั้งสุข ทุกข์ และปัญหาต่างๆมากมาย
 และเขาจะสามารถผ่านพ้นวัยที่เตรียมพร้อมสู่การเป็นผู้ใหญ่ได้เช่นไ


Review : X-Men : First Class อยู่ข้างกัน แต่คนละจุดหมาย


 "ความเหมือนที่แตกต่าง" อาจเป็นประโยคนี้อาจใช้ได้ดีกับหนังเรื่องนี้

        หนังเล่าถึงจุดกำเนิดของX-Men และเรื่องราวก่อนที่ Charles Xavier และ Erik Lensherr จะกลายมาเป็นชื่อ Professor X และ Magneto ซึ่งเป็นเรื่องราวสมัยที่ทั้งคู่ยังไม่มาเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน โดยมีศัตรูอย่าง เซบาสเตียน ชอว์ ที่หวังจะทำให้มนุษย์เริ่มสงครามโลกครั้งที่สาม ประมาณนั้น 

(เนื้อหาถัดไปอาจเปิดเผยเรื่องราวในหนัง)

       ต้องยอมรับก่อนเลยว่าโดยปกติแล้วไม่ใช่สาวกด X-Men แต่อย่างใด และขอยอมรับอีกว่าที่ดูหนังเรื่องนี้เพราะว่าผู้กำกับใหม่คนนี้คือผู้สร้าง "ไอ้ชุดเขียวหน้าปลาบู่ชนเขื่อน" Kick Ass นั่นเอง และขอยอยมรับอีกข้อเพราะว่าชอบพระเอกลูกโค้งจาก "Wanted"(เจมส์ แม็คอะวอย) นั่นเอง แต่!! (เดี๋ยวแฟนคลับ X-Men อาฆาต)
      ต้องบอกว่าของเค้าดีจริง เริ่มแรกหนังเปิดตัวที่มาของตัวละครหลักแต่ละตัวอย่างไม่ยัดเยียด ให้รู้สึก และมีน้ำหนักที่ดี การทำให้เห็นจุดกำเนิดความแค้นของ Erik Lensherr  หรือ Macneto ที่ค่ายกักกัน ซึ่ง เซบาสเตียน ชอว์ นั่นเองที่ฆ่าแม่ของเขา ดังนั้น เขาจึงตามล่าผู้ที่ปลิดชีพมารดา (แม้ว่าเหตุจะมาจากตนก็เถอะ)


     ส่วนชาร์ลส์ เซเวียร์ ผู้มีพลังจิตนั้น เข้าร่วมช่วยเหลือ FBI ในการตามล่า เซบาสเตียน ชอว์  จนทำให้ได้พบกับอีริก ทั้งสองได้รวบรวมกองทัพกลายพันธุ์ และกลายเป็นเพื่อนรักกัน หนังดำเนินไปได้อย่างน่าติดตาม แม้ฉากแอคชั่นจะไม้ได้จัดหนักเหมือนภาคก่อนๆ แต่เมื่อจัดแล้วไซร้ ก็ไม่ผิดหวังแล บทหนังมีความฉลาดในการใช้ประโยชน์จากช่วงของการเกิดสงครามเย็น ซึ่งช่างเหมาะเหม็งการการต่อสู้ทั้งจากพวกกลายพันธุ์กันเอง และมนุษย์ที่คอยล่าพวกเขา 


   ถ้าจะพูว่าหนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังซุปเปอร์ฮีโร่นั้น อาจใกล้เคียง (คงเพราะมีชาร์ลส์อยู่ในเรื่องแหละ) เพราะตัวหนังไม่ได้นั้นให้ตัวละครแต่ละตัวดัเด่ มีคุณธรรมอะไรมากมาย ทุกๆตัวล้วนมีปมของแต่ละคน
 1.อีริค เพราะความเสียใจที่ตัวเองที่สามารถเรียกพลังออกมาได้ จึงทำให้แม่ของเขาตาย จึงต้องล้างแค้น
 2.แฮงค์ แม็คคอย ผู้อัจริยะปราดเปรื่อง แต่มีเท้าเป็นมือ และ ซึ่งหาตัวยาที่ทำให้ตนเองกลับเป็นปกติ โดยไม่ต้องหลับซ่อน 

 3.ดร. มอยร่า แม็คแท็กเคิร์ท เอฟบีไอสาว ผู้ที่ต้องทำงานเพื่อลบคำสบประหม่าในความเป็นหญิง
 4.มีสทิก สาวตัวสีน้ำเงินผมแดง ผู้ต้องการการยอมรับจากรูปลักษณ์ของตน

และชาร์ลส์กับอีริค ซึ่งได้ร่วมต่อสู้ ฝึกฝนมาด้วยกัน สุดท้ายกลับต้องยืนคนละข้างกัน อันมาจากอุดมการณ์ที่ใช้หน่วยวัดเดียวกัน แต่สิ่งที่ใช้ตัดสินไม่เท่ากัน (เข้ากันแท้กับสังคมไทยสมัยนี้) จึงทำให้เพื่อนรัก กลับกลายเป็นศัตรูกัน เพียงเพราะทัศนะในการมองต่างกัน


     ฉากสุดจิ๊ด คงเป็นฉากที่ชาร์ลส์ฝึกอีรีคใช้พลังบังคับเครื่องส่งสัญญาณแหละ ที่สอนให้อีรีคใช้พลังจากด้านที่ดี แทนพลังจากความแค้นและความโกรธ ซึ่งเป็นฉากที่ประทับใจที่สุดสำหรับเรื่องนี้ (รองจากฉากบนชายหาดหลังจากที่ฬฬ ปั้งงงง!!!)
ตัวละครสุดจิ๊ด อีริค หรือ แม็คนีโต้ นั่นเอง เพราะแกทั้งโกรธและร้องให้ในเวลาเดียวกันด้วยดวงตาอันทรงพลัง และต้องยกความดีความชอบให้ แม็กอะวอยที่เล่นได้ถึง และเข้าขากันได้ดีจริง

     สรุป   สังเกตุกันไหมว่าช่วงหลังๆมานี่ หนังซูปเปอร์ฮีโร่ฮิตเข้าสู่ด้านมืดกันจริง คงเพราะ Batman Begins ของพ่อคริสเขาแหละนำเทรนด์ แล้วก็มี Watchmen และสุดๆคงต้อง The Dark Knight แหละ 
    แม้เป็นหนังซูปเปอร์ฮีโร่ แต่ผู้กำกับ "เตะตูด"(Kick Ass) ซะอย่าง มันต้องมีตลกร้ายๆ กัดจิกเจ็บๆซะหน่อย ซึ่งหนังออกมาดูดี และมีคลาสอย่างไม่น่าเชื่อ (ซึ่งเทียบกับฮีโร่กล้ามช่างไม้ Thor ซึ่งดีแล้วแท้ๆ กับมาเสียตรงที่พยายามรวมเรื่องให้เข้ากับ The The Avengers นี่น่า มันน่าเสียดา) ทำให้ X-Men : First Class เป็นที่น่าจดจำอีกเรื่อง และแอบหวังว่า ภาคต่อถ้าได้คนเขียนบท และผู้กำกับชุดเดิม X-Men อาจกลายเป็นอีกหนึ่งหนังในดวงใจใครอีกหลายๆคน